The time is near!
คิดอยู่ทุกคืนวันว่าจะกลับมาเขียนอย่างต่อเนื่อง
แต่ติดปัญหา คือ เรื่องที่อยากเขียนใคร ๆ เขาก็เขียนก็แล้ว ก็เลยรั้ง ๆ รอ ๆ อยู่ แต่ในความเป็นจริงแล้ว มันเป็นความคิดที่ผิด ที่ว่าถ้ามีคนเขียนแล้ว เราจะไม่เขียนมันอีก ถูกต้องไหมครับ
ไม่อย่างนั้นเราก็ คงไม่มีหนังสือคณิตศาสตร์ เป็นล้าน ๆ พัน ๆ เล่มหรอกเนอะ
เพราะฉะนั้นหากใครกำลังคิดแบบที่ผมคิดอยู่นี้รีบเปลี่ยนความคิดใหม่นะครับ ผมก็เปลี่ยนแล้ว ท่านจึงกำลังอ่านงานของผมอยู่ ณ ขณะนี้
จริง ๆ แค่อยากจะมาบอกว่า
“เวลาเรามีจำกัด และเราไม่รู้ว่าลมหายใจที่เข้าแล้ว จะออกมาอีกไหม”
เอาเป็นว่ามาเริ่มกัน!
ก่อนหน้านี้ย้อนกลับไปตั้งแต่ ช่วงปลายปี 2020 เป็นช่วงที่ปลดพันธนาการจาก อีกที่หนึ่งสู่อีกที่หนึ่ง การมีงานทำมันดีมากนะ แต่หากบริหารจัดการมันไม่ได้ ต่อให้โอกาสดีแค่ไหน ผ่านเข้ามามันก็ไม่ใช่โอกาสของเราอยู่ดี แต่ถ้ายังดึงดันจะไปคว้ามันเอาไว้อีกนะ มีผลลัพธ์อยู่ 2 ทาง คือ
หนึ่ง ใช้ Super Human Power จัดการมันให้เสร็จ (ถ้าทำได้ก็ดีเลย) หรือ
สอง พัง พัง พัง ๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ ไม่ใช่แค่โอกาสใหม่ที่รับเข้ามาแต่หมายถึง ทั้งหมดทุกอย่าง
อยากให้ลองคิดง่าย ๆ ถึง iPad 1 ที่ต่อให้พยายามแค่ไหนก็ ไปต่อกับ Apps ใหม่ ๆ ไม่ได้อีกแล้ว TT^TT เศร้าไหมล่ะ
มนุษย์ก็เช่นเดียว เราอ่ะมีขีดความสามารถอย่างไร้ขีดกำจัด แต่ค่าพลังงานในแต่ละวันของเราอ่ะ “มันจำกัด” จำกัดแบบมาก ๆ ด้วย ผมน่ะไม่เคยรู้เรื่องนี้มาก่อนเลย จนวันนี้ที่อายุ 29 ขวบเข้าไปแล้ว พึ่งจะมารู้ว่า
เรามี DeepWork Slots อย่างกำจัดโคตร ๆ อาจจะแค่ 3–4 ชั่วโมง ต่อวันเท่านั้น
อ้าวแล้วเวลาที่เหลือล่ะ ก็พวก ShallowWork Slots ครับ งานง่าย ๆ ธรรมดาทั่วไปแต่กินเวลาชีวิตของคุณไปไม่รู้เท่าไหร่แล้ว
แล้วยิ่งอายุมากขึ้น ๆ นะคูณณณณณณณณ ความสามารถในการ All Day All Night มันลดลง หายฮวบไปเลยครับ ปกติช่วง 17-25 ปีนะเราสามารถปิดงานตอน 06.00 แล้วก็ไป Presents อะไรซักอย่างต่อได้อย่างสบาย ๆ ชิล ๆ เลย แต่ตอนนี้มันไม่ใช่แล้ว ถึงมันจะอยากทำแค่ไหน แต่พอทำนะจะกลายเป็น Zombie ไปเลย แล้วอาจจะเสียเวลาไปอีก 1–2 วันด้วยนะ กว่าจะ Refresh กลับมาได้อีกครั้ง (คงมีแต่คนทำงานแหละนะที่จะเข้าใจกันในจุดนี้)
มาถึงตรงนี้แล้วทุกท่านก็คงจะสงสัยว่า แล้วมันมีทางแก้ไหมเนี้ยไอ้ที่เล่า ๆ มาเนี่ย
แน่นอนครับท่านผู้ชม เชิญตีวงล้อมเข้ามาใกล้ ๆ
ผลที่ตามมาของการคว้าไว้ทุกโอกาส โดยขาดการประเมินความเสี่ยง และสภาพจิตใจ ความพริ้วไหวของอารมณ์ศิลปิน ไอเ***ย (กราบขออภัยในความไม่สุภาพ)
Burnout → Brownout มอดไหม้ม้วยมลาย กลายเป็นจุล ไม่เหลือซาก ไม่มีชิ้นดี 5555 จะบรรยายอะไรอะไรขนาดนั้นนะ แต่ ๆ ยังต้องพยุงร่างสังขารนี้ต่อไป ไม่ได้ ๆ จะ Depress ไม่ได้ ผมไม่อยากเป็นอะไรที่ใคร ๆ ก็ชอบเป็นกัน
แค่เคยพยายามที่จะเป็น อุ๊ย ! โดนด่าหายเลย เราเลยเข้าใจว่า มันเป็นแค่ช่วงที่ “อ่อนแอ” ของตัวผมเอง เท่านั้น
พยุงร่างสังขารเดินต่อไป รู้ไหมต้องไปไหน?
ไปไหนก็ได้ที่ทำให้รู้สึกว่ามีความสุข ขึ้นมาได้
เลยมองหากิจกรรมเดิม ๆ ที่เคยทำแล้วมีความสุข สนุกกับมันจนลืมเวลา คือ
“เล่นเกม” แต่ความเศร้ามันก็เกิด ตรงที่ว่า
วันนี้ “เล่นเกม แล้วมันไม่มีความสุขแล้วว่ะ”
แบบแย่ละ ทำไงดี? ทำอะไรต่อดีอ่ะ ที่มันจะคลายจากสภาวะนี้ได้ ???
คำตอบ คือ “ไม่รู้” เพราะเราเคยคิดมาตลอดว่า การได้ทำงาน คือ ความสุข ของเราแล้วก็เลยไม่รู้ละว่ากิจกรรมอะไร ที่จะมอบความสุขกับเราได้อีก
จนสุดท้าย ท้ายสุดไม่ไหวละ เดินหน้าอ่านหนังสือ หาวิธีการ หาทางออก!!!
และแล้วววววว “ในที่สุด!!!”
ก็เจอแล้วโว้ยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย~
“ผมพบว่า ทุกครั้งที่ผมรู้สึกว่ามันไม่มีความสุข เป็นเพราะว่าเรารู้สึกไม่ก้าวหน้า “
“เหมือนเราหยุดอยู่ที่เดิม และเราก็เริ่มกังวลต่อไปว่า
อีก 1 ปีข้างหน้า 3 ปีข้างหน้า 10 ปีข้างหน้า เราจะเป็นยังไง พอไม่อยู่กับปัจจุบัน “ทุกขา (suffering)” ก็ถามหาละ”
ผมเลยพบวิธีการแก้ได้ง่าย ๆ ด้วยอ่านการหนังสือเยอะ ๆ
ซื้อผ่าน Kindle Store อยากอ่านอะไรซื้อ ๆๆๆ อ่าน ๆๆๆ
กลายเป็นว่าทุกคืนก่อนนอน ตอนเข้าห้องน้ำ ตอนเดิน ตอนกิน
ผมจะได้รับอะไรดี ๆ จากเพื่อนผม ที่อยู่อีกซีกโลกหนึ่งได้เสมอ
(เพื่อนผมที่ว่านี้ คือ เหล่านักเขียน ทั้งในอดีต และปัจจุบัน เหมือนพวกเขายังอยู่ ยังพูด ยังเล่าเรื่องราวให้เราฟังอยู่)
แล้วมันสนุกมาก ๆ
เหมือนเรามีโลกอีกใบ
เหมือนเรามีคนคอยตอบปัญหาที่เราอยากรู้
และปมปัญหาที่แก้ไม่ได้ต่าง ๆ มากมาย
มันจะมี Moments ที่ว่า
“เฮ้ยยย เรื่องนี้เราไม่ได้คิดไปเองนี่หว่า ก็มีคนเป็นแบบเราด้วย”มันมีคนแบบเรา อยู่อีก ที่ไหนซักแห่งบนโลกใบนี้
และที่สำคัญผมเริ่มเรียนรู้ MetaCognition หรือ วิธีการคิดของการคิด มันทำให้ผมตระหนักได้ว่า ในหลายครั้งเราหลงลืมใช้กระบวนการต่าง ๆ ที่ธรรมชาติให้มาอย่างเป็นธรรมชาติมากจนเกินไป มากจนโดนหลอก โดนชักนำไปในแนวทางของโลกใบนี้
ไปในแนวที่ตัวเราเองก็ไม่ได้อยากจะทำ แต่โดนซัดไปตามกระแส รู้ตัวอีกทีเราก็พบว่ามันมีปัญหา มีความทุกข์ทรมานกายใจ ไปซะแล้ว
ดังนั้น เมื่อผมเริ่มตระหนักถึงมัน ผมจึงได้เรียนรู้ว่า
“เราทุกคนควรจะได้เรียนกับวิธีการก่อน”
ผมชื่นชอบคำว่า “Meta” เป็นการส่วนตัวมาก ๆ เพราะมันนำมาซึ่งการตระหนักรู้ และความเข้าใจอย่างลึกซึ้งในสิ่งต่าง ๆ
การจะอ่านหนังสือ ผมก็พบว่าเราไม่ควรแต่จะอ่านมันไปเรื่อย ๆ แต่เราควรรู้วิธีการอ่านหนังสือก่อน หรือ หลาย ๆ ท่านอาจจะรู้จักในชื่อของ Speed-Reading
ซึ่งมันไม่ได้ทำให้ท่านอ่านเร็วเท่านั้น
แต่มันทำให้ท่านได้สิ่งที่ท่านต้องการจากหนังสือที่ท่านเลือกหยิบมันขึ้นมา
และที่สำคัญยิ่งเราโตขึ้น เวลาเราที่เราจะมานั่งอ่านหนังสือเป็นร้อย ๆ หน้า
มันยิ่งหาได้อย่างยากยิ่ง
โดยเฉพาะในยุคสมัยแบบนี้น่ะเหรอ
ที่ Social Media ดึงเราออกจากการแสวงหาความรู้จากหนังสือ
ได้ง่ายกว่าเดินลงจากบันได
เพราะฉะนั้นผมจึงต้องเรียนรู้วิธีการเหล่านี้ (KBG Method, 4Ps เป็นต้น)
เราโดนสอนกันมาตลอดชีวิตว่าให้ตั้งใจเรียน เรียนให้เก่ง ขยัน และอดทนเข้าไว้
โดย แทบจะไม่เคยมีใครบอกกับเราเลยว่า
ตั้งใจเรียน อย่างไร ?
เรียนให้เก่ง ต้องทำอย่างไร ?
ขยัน แค่ไหน?
อดทน ต้องตั้ง Mindset ยังไง และอดทนถึงขนาดไหน?
ผมเคยเป็นเด็กคนหนึ่งที่ตั้งคำถามกับสิ่งเหล่านี้
หลายครั้งเราก็คิดว่ามันเป็นเรื่องของบุญทำ กรรมแต่ง
เพราะอะไร เพราะว่ามันไม่มีคำตอบจากใครก็ตามที่ผมเคยไปถามเขา
ว่าทำยังไงถึงจะเรียนเก่ง ได้แบบเขาบ้าง เรามักจะได้คำตอบกลับมาว่า
ก็ตั้งใจเรียนในห้อง ก็พอแล้ว
แต่เรากลับพบว่ามันไม่พอ เราอยากรู้ว่าต้องโฟกัสที่อะไร ที่จะทำให้
เราประสบความสำเร็จ เราอยากรู้ว่าต้องทุ่มเท และใช้เวลาแค่ไหน
เราไม่อยากจะหวังพึ่งโชคลาภ หวังว่าพรุ่งนี้จะดีขึ้น
เราต้องการวิธีการ ที่หวังผลได้
ในที่สุดผมก็พบว่า สิ่งเหล่านี้นอกเหนือจากเรื่องกรรมเก่าแล้วนั้น
มันมี Scientific Methods มากมายเลย ที่จะทำให้เราเรียนเก่ง
อย่างมีเป้าหมาย อย่างหวังผลได้
(ไว้จะมาแบ่งปันกันนะครับ)
นี่แหละครับ สิ่งที่ผมพยายามอยากจะบอกก็คือ เรียนรู้วิธีการของสิ่งที่ท่านจะทำก่อน แล้วจึงลงมือ (Take Action) ทำมัน ท่านจะหลงทางน้อยลง ไม่ได้บอกว่าไม่หลงทางนะ แค่น้อยลง แต่ท่านก็จะถึงเป้าหมายไวยิ่งขึ้น
เราเก็บทุกสิ่งข้างทางที่เราคิดว่ามัน “อาจจะ” ได้ใช้ไว้ในกระเป๋ากางเกงของเราไม่พอหรอกครับ พอถึงสิ่งที่จำเป็นต้องเก็บจริง ๆ เราก็อาจจะพบว่า “มันไม่มีที่เหลือพอ” อีกต่อไปแล้ว
สุดท้ายนี้ สิ่งเหล่านี้จะเกิดขึ้นไม่ได้เลย
“ถ้าตัวผมเองไม่ยอมรับว่า มันมีปัญหา
พอยอมรับแล้วว่ามีปัญหา
ผมจึงนำตัวเองไปสู่วิธีการแก้ปัญหาทั้งปวงครับ”
Take Aways
- ขีดความสามารถของมนุษย์มีได้ไม่จำกัด, แต่ Energy ที่ท่านมีในแต่ละวันนั้นกำจัด และน้อยนิดมาก ๆ หากท่านไม่บริหารจัดการมันให้ดี
DeepWork 3–4 ชั่วโมง ที่เหลือก็เรื่องของ Superficial Work แล้วล่ะครับ - หาความสุขที่หล่อเลี้ยงชีวิตท่านให้พบครับ อย่ามารู้สึกตัวอีกที ก็ในวันที่ไม่รู้แล้วว่าอะไร คือ ความสุขของท่านครับ การมองหาความสุขในช่วงเวลาแบบนั้น มันไม่ง่ายเอาซะเลยครับ
- ก่อนเริ่มต้นจะทำอะไร หรือทำเป็นแล้วซักพักหนึ่งหากรู้สึกว่าอยากจะพัฒนามันไปให้ได้ไกลมากกว่านี้ ให้ลองกลับมาสนใจคำว่า “Meta” ดูหน่อยครับ เรียนรู้วิธีการทำสิ่งต่าง ๆ ที่ท่านต้องการ ก่อนที่จะลงมือทำ เชื่อผมครับมันโคตรดี!
- พยายามมองหาสิ่งที่ทำได้แบบเป็นลำดับขั้นตอน เชิง Scientific Methods หรือ Algorithms ท่านจะเก็บผลผลิตจากการกระทำของท่านได้ง่ายขึ้น และความท้อถอยจะน้อยลงครับ
- แต่อย่างไรก็ตามทุกทักษะ (Skills) อาศัยเวลาทั้งนั้น ถ้าท่านใจร้อนให้ถามตัวเองว่า ถ้าทำแบบนี้มาก่อนหน้านี้ ตอนนี้ ณ เวลานี้ที่จำเป็นต้องใช้ ก็คงได้ใช้ไปแล้ว แต่เป็นเพราะตัวท่านเอง ดังนั้นแล้วอย่าคิดมากครับ พบวิธีตอนนี้ก็ยังดีกว่าไม่ได้พบเลยนะครับ
ขอให้ทุกท่านพ้นจากความทุกข์ทั้งปวงครับ
และขอให้มีความสุขในทุกช่วงเวลาของชีวิตท่านครับ
AdaDeSions