Software Engineer มองวันอาสาฬหบูชายังไง
วันอาสาฬหบูชา (อาสาฬหปูรณมีบูชา) หรือ การบูชาในวันเพ็ญเดือน 8 นั้น หากท่านเป็นชาวพุทธที่จริงจังในพุทธประวัติท่านก็จะพบว่าวันนี้ ในอดีตนั้นมีความสำคัญอย่างยิ่งยวด เหตุเพราะเป็นวันที่ พระธรรมบทแรกได้ถูกตรัสออกมาจากพระโอษธ์ ของพระมหาบุรุษอย่างพระผู้มีพระภาคเจ้า ซึ่งพระธรรมบทแรกนั้น คือ ปฐมบทแห่งการเคลื่อนไป หรือหมุนไปของวงล้อแห่งพระธรรม หรือที่เรารู้จักกันในนามของ “ธรรมจักรกัปปวัฒนสูตร” ข้อถัดมาเมื่อพระธรรมบทแรกถูกตรัสจนจบ ก็บังเกิดพระอริยสงฆ์พระองค์แรกในขั้นโสดาบันขึ้น ดังนั้นแล้วหากมองความสำคัญกันจริงๆ จะพบว่าวันนี้เป็นวันที่สิ่งประเสริฐสุดทั้ง 3 ที่เกิดได้ยากยิ่ง เกิดขึ้นครบองค์ประชุมพร้อมกันแล้วบนโลก ในชมพูทวีปของเรา
เกริ่นประวัติความเป็นมาอันผมหลงไหลเสร็จเรียบร้อย ดังนั้นต่อจากนี้ผมจะเล่าในทัศนะของความเป็น Software Engineer ที่มีต่อวันนี้ในมุมของผมให้กับทุกท่านได้อ่านกันนะครับ
อย่างที่ได้กล่าวไปข้างต้นครับว่าวันนี้มีความสำคัญในระดับมหภาคของพระศาสนา เพราะเป็นพระธรรมต้นแบบ หลักใหญ่ใจความที่มุ่งเน้นการพ้นทุกข์ ทั้งการวางเป้าหมาย (พระนิพพาน) ทั้งเส้นทาง และวิธีการ (มรรค) พระสูตรอื่นๆที่มุ่งเน้นการพ้นทุกข์ ก็จะไม่เกินขอบเขตของพระธรรมบทนี้ไปได้ครับ
แล้วเกี่ยวยังไงกับ Software Engineer?
โอเครครับ เรามาดูกัน หากถามว่าทำยังไง Softwere Project ที่ได้รับมาจะประสบความสำเร็จ เราก็คงคิดไปต่างๆนาๆ ใช่ไหมครับว่ามันจะต้องออกมา หน้าตายังไง มีเอกสารแบบไหน ใช้คนเท่าไหร่ มีงบเพียงพอไหม ถูกไหมครับ? แต่ทุกท่านลืมอะไรไปรึเปล่าครับ ?
เรือที่รั่ว น้ำกำลังเข้า ต่อให้เอาเงินมาวางบนเรือเพิ่ม ต่อให้เปลี่ยนเครื่องยนต์ใหม่ หรือ ต่อให้เอากัปตัน และต้นหนที่ดีที่สุดมาควบคุมทิศทางเรือ
คำถาม คือ เรือจะไม่จมใช่ไหมครับ?
โอกาสประสบความสำเร็จของอะไรก็ตามบนโลกใบนี้
ไม่ได้ขึ้นอยู่กับว่า “ทำอย่างไรจึงจะประสบความสำเร็จ”
แต่ขึ้นอยู่กับว่า “ทำอย่างไรจึงจะไม่ล้มเหลว” ต่างหาก
องค์ประกอบต่างๆ ( factors ) ของทั้ง 2 คำถามนี้มันแตกต่างกัน หากผมถามคำถามแรก คำตอบที่ผมได้จะเป็นแนวว่า ต้องมีอันนั้น ต้องมีอันนี้นะ แต่ก็ยังรับประกันไม่ได้ว่าผมจะประสบความสำเร็จ หรือ รวย ถูกไหมครับ?
เช่น เรามองคนรวยว่า ต้องมีบริษัทเป็นของตัวเองนะ ต้องเป็นเจ้าของกิจการนะถึงจะรวย
คำถาม คือ จริงไหมอ่ะ?
เคยมีคนจนเพราะเปิดบริษัทไหม คำตอบ คือ มี
เคยมีคนที่ชีวิตพังเพราะเปิดบริษัทไหม คำตอบ คือ มี
นั่นแปลว่า ผมกำลังเล่นอยู่บน ความน่าจะเป็นของกลศาสตร์ควอนตัม หรือ?
คำตอบ คือ ไม่!
เพราะถ้าผมเปลี่ยนมาถามคำถามที่ 2
“ทำอย่างไรจึงจะไม่ล้มเหลว”
คำตอบที่คุณจะได้รับมักจะขึ้นต้น ด้วยคำว่า “ห้าม”
เช่น
ห้ามตั้งบริษัทโดยยังไม่มีกลุ่มลูกค้าที่ชัดเจนนะ
ห้ามหยุดพัฒนาตัวเองนะ
ห้ามหูเบานะ ห้ามเอาแต่ความคิดตัวเองนะ
ดังนั้นสิ่งที่ท่านจะได้รับจากคำถามข้อที่ 2 มันจะเป็นรูปธรรม และจับต้องได้มากยิ่งขึ้น เพราะมันเอามาปฎิบัติตามได้จริง
วกกลับมาที่ว่าเกี่ยวอะไรกับวันอาสาฬหบูชา
วันนี้พระพุทธองค์ ตรัสถึงเส้นทาง 3 เส้นด้วยกัน คือ
- กามสุขัลลิกานุโยค คือ การหมกมุ่นอยู่แต่ในกามสุข
ความสุขในขั้นกามคุณ 5 คือ รูป รส กลิ่น เสียง รส และโผฎฐัพพะ
ถ้าความสุขที่เราได้มา มาจาก 5 สิ่งนี้นับรวมอยู่ใน กามคุณ 5
(มนุษย์ สัตว์ และเทวดา ก็จะยังอยู่ในสิ่งนี้) - อัตตกิลมถานุโยค คือ การทำทุกรกิริยา
แปลตรงๆ คือ ทำตัวให้ลำบาก หรือทรมารตนโดยเปล่าประโยชน์ ทำสิ่งที่ลำบาก ที่ทำได้ยาก
เช่น การยกแขน การกำมือ ไว้ตลอดชีวิต การอดอาหาร การนั่ง นอนบนตะปู เป็นต้น - มัชฌิมาปฏิปทา คือ เส้นทางที่ละส่วนสุดทั้ง 2 ทางขั้นต้นนั้น
ซึ่งกล่าวได้ว่า คือ มรรคมีองค์ 8 (มรรค แปลตามพระบาลี ได้ว่า ทาง หรือ วิถี ) ทางที่ประกอบไปด้วยองค์ประกอบ 8 ประการ นี้จะทำให้พ้นทุกข์ ถึงเป้าหมายของพระศาสนาได้ คือ พระนิพพาน
ที่ผมหยิบยกมานี้ คือ ส่วนหนึ่งของ “ธัมมจักกัปปวัตนสูตร” พระสูตรที่ทุกท่านไม่ควรพลาดด้วยประการทั้งปวง
ทีนี้ผมกำลังจะบอกอะไร?
สิ่งที่ผมกำลังพยายามบอกก็ คือ พระองค์ตรัสสอนอย่างตรงไปตรงมาว่า ถ้าไม่อยากล้มเหลว จงอย่าทำ 2 สิ่ง คือ กามสุขัลลิกานุโยค และอัตตกิลมถานุโยค แต่จงทำ มัชฌิมาปฏิปทา ให้หนัก ให้มาก หากมากพอก็จบกิจในพระศาสนา
แต่ถ้าทำ 2 สิ่งก็จะไม่มีทางประสบสิ่งที่ปราถนาได้เลย คือ พระนิพพาน ต้องเล่าย้อนอีกนิดว่า ก่อนเจ้าชายจะตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้านั้น 2 เส้นทางนี้ฮิตติดลมบนมากๆ นักบวชไม่ว่าจะลัทธิไหน นิกายไหนก็จะไม่เกินขอบเขตของแนวคิดทั้ง 2 ทางนี้ทั้งนั้น
ดังนั้น เมื่อการตรัสรู้ความจริง เกิดขึ้น ทางสายกลาง หรือ มัชฌิมาปฎิปทา จึงเกิดขึ้น นี่จึงเป็นแนวคิดใหม่ แนวทางใหม่ของมนุษย์ เพื่อการหลุดพ้นจากความทุกข์ หรือ ความล้มเหลวทั้งปวง
ในทางโลกมนุษย์ของเราก็เช่นเดียวกันครับ
การไม่ทำปัจจัยของความล้มเหลว ย่อมไม่นำไปสู่ความล้มเหลว
วันนี้หากท่านกำลังทำอะไรอยู่ซักอย่างหนึ่ง เราควรใช้เวลาสงบๆ ถามตัวเองว่า เรากำลังทำอยู่บนปัจจัยของความล้มเหลวอยู่หรือไม่ ความเสี่ยงที่เกิดขึ้นมันส่อแววมาทางล้มเหลวไหม
อย่าหลอกตัวเองว่ามันน่าจะสำเร็จ เพราะหากปัจจัยมันไม่เอื้ออำอวย มันก็ไม่มีทางจะให้ผลอย่างนั้น
เช่น เราสวดมนต์อ้อนวอนให้ ลูกวัว ออกมาจากท้องแม่เสือ ปัจจัยมันไม่ถูกต้องเทวดาท่านก็ช่วยอะไรไม่ได้ถูกไหมครับ
เราคาดหวังให้ App สำเร็จขายได้ แต่ไม่ทำ market validation เลยมันก็ไม่สมเหตุ สมผลไหมอ่ะ App ที่ออกมาอาจจะถูกใจคนทำ แต่ไม่ถูกใจคนใช้
คำถาม ใครเป็นคนทำให้เกิดรายได้ ถูกไหมครับ ^^
สรุป
หากด้านบนยาวไป มาอ่านตรงนี้เลย
- เปลี่ยนวิธีการตั้งคำถาม และการตั้งเป้าหมาย
- เป้าหมาย ให้เอาความสำเร็จตั้ง
- ส่วนคำถาม ให้ถามหา
ข้อห้าม สิ่งที่ไม่ควรทำ
จะได้เงื่อนไขและแนวทางที่ถูกที่ควร
เหมือนไปบ้านคนอื่นครั้งแรก ก็ไม่ควรทำตัวเหมือนบ้านตัวเองใช่ไหม
ทางพระศาสนา เมื่อมีศีล โลกมนุษย์ก็สงบ, ศีล คือ ข้อห้ามถูกไหมครับ^^
ทางโลก ก็แค่หาจุดลงตัว และข้อควรปฎิบัติต่างๆระหว่างกันของแต่ละความสัมพันธ์ให้เจอ เท่านี้ครับ
ขอบคุณทุกท่านที่อ่านมาถึงจุดนี้นะครับ
นอกจาก Mathematics และ Programmming แล้วก็มี Dhamma นี่แหละครับที่เป็น Core หลักของผม
สำหรับบทความนี้สวัสดีครับ
(สวัสดี เป็นคำอวยพร แปลว่า ความดี ความงาม ความปลอดภัย ความเจริญรุ่งเรือง การอวยชัยให้พร มาจากภาษาบาลี “โสตฺถิ”)