บันทึกของวิมุตติ ครั้งที่ 1
วิมุตติ คือ เป้าหมายอันสูงสุดของ สัพเพ สัตตา หรือ สรรพสัตว์ทั้งหลาย
ดังพุทธภาษิต ที่ว่า
พรหมจรรย์นี้มิได้มีลาภสักการะสรรเสริญเป็นอานิสงส์
มิได้มีกามสุขในสวรรค์เป็นอานิสงส์
มิได้มีการเข้าถึงความเป็นอันเดียวกับพรหมในพรหมโลกเป็นอานิสงส์
แต่ว่ามีวิมุตติเป็นอานิสงส์ ดังนี้
สำหรับบันทึกของผมนี้จะเล่าถึงกระแสธรรม อารมณ์ทั้งหลาย ที่ตกกระทบจิตใจ และมีสติเท่าทัน ในการที่จะจับมันมาเล่า มาเขียนเป็นตัวอักษร อันที่ไม่ทันก็ต้องยอมรับว่าปัญญาตัวเจ้าของเองนั้นยังด้อยอยู่มากไม่อาจจะเฝ้าระมัด ระวัง ป้องกันตัวไว้ได้ทัน
และตัวผู้เขียนบันทึกนั้น ไม่มีได้มีวัตถุประสงค์ที่จะอวดอ้างสรรพคุณวิเศษใดๆ อันที่ไม่ได้มีในตัว หรือที่มีก็ไม่ได้มีประเด็นจะโชว์ใดๆ เพียงอยากจะบันทึกเรื่องของใจเอาไว้เพียงเท่านั้น
ครั้งที่ 1 — 19/07/2019
ประมาณ 2 เดือนที่ผ่านมานี้นับตั้งแต่ มิถุนายน จนถึง สิงหาคมนี้ ก็ 2 เดือนกว่าๆ มีเรื่องดี และร้ายเกิดขึ้นมามากมาย แต่ก็สามารถผ่านมาได้ด้วยความพยายาม ความอดทน อดทนต่อสิ่งอยุติธรรมทั้งหลาย เพราะเราก็อดใจคิดซะว่ามันเป็นแค่เรื่องของโลกนี้ เราและคนอื่นๆนั้นมีความตายเป็นที่สุด คิดได้ก็วางลงได้
ถึงกระนั้นขณะที่คิดว่าตัวเรานั้นเป็น “คนดี” ความหลงสติ และการทดสอบก็จะเข้มขึ้น เมื่อโลกบอกว่า “มึงไม่ใช่คนดีหรอก” เพราะคนดีต้องไม่โลภ ไม่โกรธ ไม่หลง แต่นี่เรานี่มีครบเลย แล้วแถมแรงซะด้วย ดังเรื่องที่จะเล่าต่อไปนี้
เราตั้งใจไว้เสมอว่า ตัวเราเองนั้นจะพยายามไม่โกรธ และไม่มีปากเสียงรุนแรงกับลูกค้า แค่คนไหนที่ทำงานด้วยถ้าเราไม่ชอบใจ พยายามอดทนแล้วได้แค่นั้น ก็ไม่คบหาสมาคมกันต่อ เพื่อให้เสียสุขภาพจิตใจกันไป ก็เลิกเท่านั้นก็จบ แต่เรามันดันคิดไม่รอบครอบไม่ได้ตริตรองไว้ว่า แล้วคนที่เราไม่ได้คิดว่าเขาเป็นลูกค้า แต่เป็นเราคิดว่าเราให้ความช่วยเหลือเขา ซึ่งในบริบทของเขาไม่ได้คิดแบบนั้น คิดซะว่าตัวเองเป็นนายจ้างเพราะได้ทำการจ่ายเงิน แต่เงินที่เราคิดมานั้นเป็นเพียงค่าของเพื่อใช้ในการทำการทำงานของเขาให้มันได้ ให้สำเร็จ จึงเกิดวาทกรรม ที่ตัวเราเอง ณ ขณะนั้น ไม่ชอบใจ จนถึงขั้นรังเกียจ ในการกระทำของบุคคล คนนี้จริงๆ
โทสะ ความโกรธ ที่ตัวเราพยายามครอบมันเอาไว้ ทุกวิถีทางเพื่อไม่ให้มันบันดาล แม้แต่คำดูถูก การกระทำจากคนที่เรามองว่าต่ำกว่าเรา(จุดนี้เราเขียนข้อความนี้เพื่อแสดงให้เห็นภาพ และการจำแนก) เราก็ระงับได้โดยง่าย แต่กับกลุ่มบุคคลประเภทที่ใกล้ชิด ญาติ ครอบครัว คนที่มีความสัมพันธ์กัน เรากลับระงับไว้ไม่ได้
จุดนี้เป็นความผิดพลาดของตัวเราเองที่ไม่ โยนิโสมนสิกา ไว้ให้ได้พูดแบบโปรแกรมเมอร์ก็ต้องบอกว่า เก็บเคสไม่หมด มัน Errors ออกมา ซึ่งครั้งนี้เรามองเห็นมันชัดยิ่งกว่าครั้งไหน และรวมถึงมันนำเราไปสู่ข้อสรุป และคำสอนต่างๆ ที่ทำให้เราแจ้งแก่ใจเราอย่างจริงแท้ ว่าคำสอนของพระพุทธเจ้า และพระอริยเจ้าทั้งหลายนั้นไม่ผิด ไม่เพี้ยน อย่างแน่นอน เพราะเราทำให้มันแจ้งแก่ตัวเราเองแล้ว
คำสอนที่ว่านั้น เป็นอย่างไร
พระราชพรหมยาน ท่านสอนไว้ว่า
ให้รักและเครพในพระรัตนไตรอย่างจริงใจ คือ เชื่อฟังคำสั่ง คำสอนของท่าน อะไรที่ท่านห้ามก็อย่าละเมิด แบบนี้เรียกว่าเครพอย่างจริงใจ
ให้ระลึกถึงความตายเอาไว้ เพราะเรามีความตายเป็นที่ไป เราทั้งเดิน ทั้งวิ่งเข้าหาความตาย กันอยู่ทุกวินาที มันเป็นของแน่นอนไม่ว่าจะในโลกไหนๆ
ให้ภาวนาไว้ว่าเราจะไปพระนิพพาน เป็นเป้าหมายของเรา ที่อื่นนับตั้งแต่ พรหมโลก ลงมาถึงมนุษย์โลก เราไม่เอา เราไม่ไป มันลำบากมันทุกข์ ทรมาน เราเกลียดชังมัน เราอยากไปในที่ๆ สมบูรณ์แบบ เราอยากไปอยู่ในที่แบบนั้น
ท่านก็สอนอีกว่า “อย่าไปคิดว่าเราเกิดมาบนโลกใบนี้ แล้วเรามีญาติ มีพี่ มีน้อง มีสามิ มีภรรยา จริงๆมันไม่มี ทุกคนตัวคนเดียว”
ข้อความนี้ต้องมองกันให้ดี อาศัยปัญญาญานเข้ามาจับ อย่าไปคิดแบบทางโลกเพราะมันจะตีความผิดเละเทะ ไปหมดอาจจะลามไปถึงการปรามาสพระอริยเจ้าอย่างท่านเข้าได้
ผมตีความของผมแบบนี้ว่า “ขณะเรากำลังทุกข์ อยู่นั้นเช่น ความหิว ความเหนื่อย ความล้า นั้นทามกลางผู้คนที่เป็น ที่รัก ญาติสนิท มิตรสหาย คำถาม คือ มีใครมาสนใจ ใส่ใจ หรือรับรู้ในความทุกข์พื้นฐาน ของเราเหล่านี้อยู่หรือไม่”
หรือแม้ในขณะเราจะตายนั้น เรานึกเป็นห่วงผู้อื่นอยู่ แต่ผลของการห่วงนั้นกลับนำเราลงสู่อบายภูมิ มีนรก เป็นต้น ถามว่าผู้ที่เราเป็นห่วงนั้น รับรู้ หรือสามารถช่วยเหลือรา ได้หรือไม่ คำตอบ คือ ไม่
เพราะฉะนั้นแล้วเหตุการณ์ทั้งหลายในช่วงที่ผ่านมานำผมสู่การตระหนักรู้ ในคำสอนของพระอริยเจ้า ทำให้เราเห็นแง่มุมที่เราพยายามปฎิเสธ คือ มันไม่ได้มีแค่เคสเดียว
ยกตัวอย่าง จากเหตุการณ์ที่ผ่านมา
เราเสียสละให้เขา เขาก็น่าจะมีน้ำใจกับเรา
แต่มันยังมีอีก 3 เคสที่เราควรมองให้จบ
เราเสียสละให้เขา เขาก็อาจจะเห็นแก่ตัวกับเรา
เราเห็นแก่ตัวกับเขา เขาก็อาจจะมีน้ำใจกับเรา
เราเห็นแก่ตัวกับเขา เขาก็เห็นแก่ตัวกับเรา
เรียนคณิตศาสตร์มาอย่างให้เสียของ มันเป็นเครื่องมืออย่างดี
ซึ่งวันนี้ผมปักใจเชื่อ เราเข้าใจในทุกบริบทแล้วว่า
เราเกิดมา มีตัวคนเดียว การผูกใจไว้กับใครนั้นเราหลอกตัวเอง
แต่นั้นไม่ได้หมายความว่าผมจะ “อกตัญญู” กับผู้มีคุณ นั่นไม่ใช่ความหมายของข้อความข้างต้น
สุดท้ายของบันทึกวิมุตติ ผมขอบันทึกลงท้ายไว้ว่า
เมื่อนึกย้อนไปในอดีต เราหาความสุขของตัวเองไม่เจอเลย มันไม่มีจริง มันเปลี่ยนแปลง มันไม่คงที่ มันไม่สงบ เราเรียกมันว่าความสุข ไม่ได้ แต่เรากลับหลอกตัวเอง ณ เวลานั้นว่า นี่ คือ ความสุขของฉัน และพอมันจากไป เรากลับพบแต่ความโหยหา ในความสุขปลอมๆของเราเหล่านั้น สิ่งความสุข ต้องไม่นำเราไปสู่ความทุกข์สิ เราว่ามันไม่ใช่ เราจึงของกล่าวสรุปว่า
“ตั้งแต่เราเกิดมา เราไม่เคยรู้จักความสุขที่แท้จริงเลย ว่ามันเป็นเช่นไร”
-ปัญญาเสทโธ